วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

นุ่งโจงห่มสไบ ใส่ชุดไทยสวยแบบบ้าน ๆ + เที่ยวย้อนยุค ณ เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔

     นานแล้วนะคะที่มิ้วไม่ได้มารีวิวเรื่องกิน เรื่องเที่ยวให้ได้ชมกัน เนื่องจากช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามิ้วไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ฤกษ์งามยามดี ได้ไปเที่ยวกับเขาสักที จุดหมายปลายทางของมิ้วในครั้งนี้อยู่ที่ "เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔" ที่จังหวัดกาญจนบุรีค่ะ...

การไปเที่ยวในครั้งนี้จะเป็นยังไง มาติดตามชมกันได้ ณ บัดนี้เลยเจ้าค่ะ ^^





     เนื่องจากวางแผนกับเพื่อนมาตั้งแต่ก่อนออกเดินทางว่าเราจะไปที่ "เมืองมัลลิกา" กันเป็นที่แรกก่อนที่จะเข้าที่พัก ดังนั้นเมื่อเดินทางมาถึงสถานีขนส่งกาญจนบุรี มิ้วกับเพื่อน ๆ ก็นั่งรถเมล์แดงเพื่อมายังที่หมายทันที รถเมล์แดงคันนี้จะขับไปปราสาทเมืองสิงห์ค่ะ ระหว่างทางจะผ่านเมืองมัลลิกาพอดี ต้องบอกคนเก็บตังค์ว่าจะไปเมืองมัลลิกาค่ะ เขาจะได้แวะจอดรถให้ (ใครไม่รู้จักปราสาทเมืองสิงห์ ไปย้อนดูละครช่อง 3 เรื่องนาคีค่ะ "เทวาลัย" สถานที่ในละครที่นางเอกต้องไปบ่อย ๆ นั่นแหละค่ะ ที่เดียวกัน)

     เมื่อมาถึงเมืองมัลลิกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือจ่ายค่าเข้าชมค่ะ จากนั้นก็ไปเปลี่ยนชุด อย่างที่ทราบกันดีว่าจุดเด่นของเมืองมัลลิกาคือเขาจะมีชุดไทยให้เราเช่าใส่กันทั้งของชายและหญิง เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศที่จำลองขึ้นให้เหมือนกับสมัยรัชกาลที่ 5 มีชุดให้เช่าหลายแบบ ทั้งแบบลำลองในลักษณะที่ผู้หญิงนุ่งโจง ห่มสไบเรียบ ๆ ผู้ชายใส่เสื้อตัวโคร่ง ๆ และนุ่งโจง รวมถึงชุดแบบพิธีการที่ผู้ชายใส่ชุดราชปะแตน และผู้หญิงใส่เสื้อแขนหมูแฮมค่ะ (นึกถึงเสื้อผ้าในละครเรื่องสี่แผ่นดิน หรือเรื่องที่มีเนื้อหาเป็นช่วงเวลาในสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นแหละค่ะ)ซึ่งชุดแบบพิธีการนี้ก็จะมีราคาเช่าชุดที่แพงขึ้นมาอีก


     แน่นอนว่าสายวินเทจย้อนยุคแบบมิ้วก็ไม่พลาดค่ะ มีหรือที่คนอย่างมินนี่มิ้วจะไม่ใส่ชุดไทย งานนี้มิ้วอยากดูย้อนยุคแบบเรียลให้มากที่สุด แบบที่ใส่แล้วดูไม่ค่อยขัดตานัก มิ้วจึงเลือกใส่สไบสีครีมและนุ่งโจงแดงค่ะ (จริง ๆ แล้วมิ้วอยากใส่สีน้ำตาล อยากดูธรรมดามากที่สุด)ส่วนเครื่องประดับที่เขาให้มา มิ้วเลือกใส่เพียงบางชิ้นค่ะ เช่นเข็มขัด และกำไลข้อมือ ไม่ใส่สร้อยคอและต่างหูค่ะ เพราะมิ้วว่ามันจะดูเยอะไป 

     นี่คือมุมหนึ่งที่ถ่ายรูปออกมาแล้วเห็นชุดที่ใส่ได้ชัดเจนค่ะ อยู่บนรถลากหน้ากำแพงเมือง เป็นการจำลองวิถีชีวิตคนสมัยนั้นได้ดีเลยทีเดียว


     ในส่วนแรก ๆ ที่เดินเข้ามา เราจะพบตัวเมืองหรือตลาด อาคารส่วนใหญ่ในบริเวณนี้จะเป็นอาคารก่ออิฐค่ะ เพราะในยุคนั้นเริ่มมีการให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน เกิดย่านตลาดซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางชุมชน มีการทำเรือนพื้นติดดินเป็นแถว ๆ หรือที่เราเรียกกันว่าห้องแถวนี่แหละ(อาคารแบบนี้ส่วนมากจะเป็นนิยมในหมู่ชาวจีน เดี๋ยวนี้ก็มีให้เห็นกันอยู่)โดยเปิดหน้าร้านสำหรับขายของ ด้านบนหรือหลังบ้านใช้เป็นที่พักอาศัยค่ะ

และนี่ก็เป็นมุมหนึ่งที่มาจากห้องแถวค่ะ ลืมบอกไปว่าที่นี่มีมุมให้ถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก 


     นี่ก็เป็นซอกหลืบระหว่างช่องตึกค่ะ ที่มิ้วนึกไม่ถึงว่าตากล้องจะให้มาโพสท่าถ่ายรูปตรงนี้ (ช่างคิดได้ = =") แต่ก็ได้ภาพสวยถูกใจมากเลยทีเดียว ><


     มาถึงตลาดทั้งทีก็ต้องมีการจับจ่ายใช้สอยกันหน่อยสิ แต่มาเมืองย้อนยุคทั้งที จะให้ซื้อของด้วยธนบัตรหรือเหรียญแบบสมัยนี้ก็อาจจะดูแปลก ๆ อยู่สักหน่อย ถ้าหากว่าอยากจะช้อปปิ้งซื้อของกินของใช้ในเมืองมัลลิกา ต้องใช้เหรียญสตางค์รูค่ะ ซึ่งมิ้วก็แลกมา 200 บาทสำหรับการซื้อของกินภายในเมืองตลอดช่วงบ่ายค่ะ

     เราจะได้เหรียญมาเป็นพวง ๆ แบบนี้ 1 พวงก็เท่ากับ 100 บาทในปัจจุบันค่ะ เหรียญแต่ละเหรียญจะมีมูลค่าและขนาดต่างกัน เวลาไปซื้อของอะไร พนักงานในนั้นก็จะพูดคำลงท้ายแบบโบราณว่า "ขอรับ/เจ้าค่ะ" ซึ่งเข้ากับบรรยากาศจริงจริ๊งงง



     ตอนที่เข้ามาในเมืองแล้ว ด้วยความที่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันมา มิ้วเลยจัดไปหลายอย่างเลยค่ะ ทั้งของคาวและของหวาน อร่อยแทบทุกอย่าง อาจจะถ่ายมาไม่หมดนะคะ แหะ ๆ

     เริ่มด้วยหมูทอดค่ะ จำไม่ได้ว่ามีเรียกเต็ม ๆ ว่าอะไร แต่มันมีรสออกหวาน ๆ อร่อยดีค่ะ ขายเป็นกระทงๆ


     หมูสะเต๊ะ เมนูนี้มีมานานแล้ว น่ากินมาก ๆ เป็นสิ่งแรกที่เตะตามากตอนเดินเข้ามาในย่านตลาด


     ขนมหวานที่เป็นขนมไทย ๆ มีขายอยู่หลายอย่างมาก(แต่ไม่ได้ซื้อกินทุกอย่าง และไม่ได้ถ่ายรูปมาหมดทุกอย่าง)แต่ที่มิ้วชอบก็พวกทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน ที่ถึงแม้จะหาซื้อได้ทั่วไปในกรุงเทพฯ แต่จากที่ได้กินของที่นี่แล้วรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง มันมีรสชาติหวานมากแต่มีความหอมนวล ๆ กินแล้วรู้สึกฟินมากค่ะ ซึ่งจริง ๆ มิ้วก็ไม่รู้หรอกนะว่ารสชาติที่คนโบราณกินกันมันเป็นยังไง แต่น่าจะอารมณ์ประมาณนี้แหละค่ะ อร่อยกว่าที่เคยที่มาทุกที่เลย


     เมื่อเดินลึกเข้ามา จะมีสะพานให้เดินข้าม เห็นเรือนไทยอยู่ประมาณ 2-3 หลังค่ะ มิ้วขึ้นเรือนหลังที่ใกล้ที่สุดที่อยู่ตรงศาลาตรงข้ามสะพานที่เดินข้ามมา รูปนี้คือตอนที่นั่งถ่ายรูปที่ศาลาค่ะ จะเห็นนางแบบอีกคนหนึ่งเพิ่มเข้ามา เพื่อนมิ้วเองค่ะ เนื่องจากนางใส่เครื่องประดับจัดเต็มกว่ามิ้ว พอจะถ่ายรูปด้วยกันเลยจัดฉากให้มิ้วเป็นบ่าวที่กำลังนวดให้คุณนายอยู่(มีความแอบกลั้นขำกันหนักมาก 55555)


     ถัดขึ้นมาจากศาลาเราก็ขึ้นเรือนค่ะ เป็นเรือนไทยใต้ถุนสูงตามแบบที่เราเห็นอยู่ทั่วไปในละครพีเรียดย้อนยุคทั่วไป ประมาณว่าเป็นบ้านท่านเจ้าคุณทำนองนั่นแหละ ขึ้นเรือนมาก็จะมีห้องที่เขาจัดไว้เป็นสัดเป็นส่วน มิ้วก็ไม่รอช้า เข้าไปถ่ายรูปในทันที
ห้องนี้มีโต๊ะเครื่องแป้งค่ะ ตากล้องถ่ายจากด้านหลังของมิ้วสะท้อนเงากระจกอีกที ได้อารมณ์เหมือนเรื่องทวิภพ หรือไม่ก็ดูหลอน ๆ อยู่นะ 55555


     เมื่อออกมาอยู่หน้าห้องจะมีโต๊ะที่พนักงานมานั่งร้อยพวงมาลัยหรือทำงานประดิษฐ์ดอกไม้กันค่ะ ด้วยความสนใจอยากร้อยมาลัย (หรือซุกซนก็ไม่รู้) เลยขอไปเรียนร้อยมาลัยด้วย เห็นมั้ย มิ้วออกจะเป็นคนเรียบร้อย เน้อออ


     ระหว่างที่มีการเรียนการสอนค่ะ พวงมาลัยที่มิ้วร้อยเรียกว่า "มาลัยเกลียว" ^^


     แล้วเราก็ได้พวงมาลัยพวงน้อย ๆ มาเป็นที่เรียบร้อย เป็นไง สวยมั้ยคะ? ^^


ถ่ายรูปคู่กับผลงานสักหน่อย อิอิ


     ออกมานอกเรือน ชักภาพอีกสักหน่อย เพื่อความสมจริงว่านี่คือเรือนของเรา 55555


     เมื่อลงจากเรือนไม้มาแล้ว พวกเราก็เดินไปทางด้านหลังของเรือนค่ะ แอบเห็นอยู่ลิบ ๆ ว่าเขามีกิจกรรมอะไรสักอย่าง แล้วมิ้วก็เจอกลุ่มคนที่เขากำลังสีข้าวและตำข้าวกันอยู่ค่ะ ด้วยความซุกซนของตัวเอง มิ้วก็ไม่รอช้าที่จะไปขอแจมด้วย (มาถึงนี่ทั้งทีจะพลาดได้ยังไง เนอะๆ)

รูปนี้คือตอนที่มิ้วกำลัง "สีข้าว" อยู่ค่ะ เป็นกิจกรรมที่ได้ใช้แรงแขนแบบสุดเหวี่ยงเลย มิ้วชอบมาก เพราะได้บริหารกล้ามเนื้อแขนอันอ่อนยวบยาบของตัวเอง 55555 


     ส่วนกิจกรรมนี้เรียกว่า "การตำข้าว" ค่ะ อาจจะต้องอาศัยจังหวะในการยกขานิดนึง เพราะถ้ายกขาสูง เข่าจะชนกับไม้ที่เราจับอยู่ค่ะ บอกเลยว่าเจ็บเพราะโดนมาแล้วเรียบร้อย T_T


     เมื่อมีกิจกรรมเกี่ยวกับข้าว แน่นอนว่ามันต้องมีพื้นที่นาให้เก็บเกี่ยวข้าวใช่มั้ยคะ? แน่นอนค่ะ ที่เมืองมัลลิกาเขามีการปลูกข้าวอยู่ด้วย เมื่อเดินออกมาจากด้านหลังเรือนไทย มองไปทางขวาที่อยู่ใกล้ ๆ จะเห็นแปลงนาเล็ก ๆ ที่เริ่มออกรวงข้าวสีทองแล้ว 

ในรูปนี้ ด้านหลังมิ้วเป็นต้นข้าวทั้งสิ้นเลยค่ะ


     เมื่อเราเจอแปลงนาแล้ว แน่นอนว่าหากมีการทำนาเกิดขึ้น ที่นี่เขาไม่น่าจะใช้รถอีแต๋นหรือควายเหล็กแน่ ๆ (แหม... สมัยร.5 ชาวนาจะไปมีเครื่องยนต์แบบนั้นได้ยังไง เพิ่งจะมีราชยานยนต์คันแรกในสมัยนี้เองนะ พูดง่าย ๆ ก็คือชาวบ้านชาวช่องในสมัยนั้น แค่ได้ขึ้นรถลากหรือรถม้าก็หรูแล้ว)สมัยนั้นต้องใช้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ควาย" ค่ะ และที่มิ้วเห็น ก็คือมิ้วเห็น "ควายเผือก" 2 ตัวอยู่ในคอกที่เขาจัดเอาไว้ (เกิดมาก็เพิ่งจะเห็นควายเผือกตัวเป็น ๆ นี่แหละ ตัวใหญ่พอสมควรเลย)


     ถ่ายรูปกับน้องควายเผือก เมคว่าเป็นชาวนาสักหน่อย กระบอกไม้ไผ่ที่มิ้วถืออยู่นั่นเอามาถือเฉย ๆ นะคะ ไม่กล้าตี กลัวน้องควายวิ่งตื่นออกมา 55555


     เมื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างจนพอใจแล้ว ก็ถ่ายรูปชิลล์ ๆ กันก่อนกลับที่พักค่ะ รูปนี้ถ่ายบนสะพานไม้ซึ่งฉากหลังเห็นเป็นคลอง มีเรือแจวจอดอยู่ ได้บรรยากาศของความเป็นชุมชนสมัยโบราณมาก ที่เขามักจะสัญจรทางน้ำกันเป็นหลัก



รูปนี้ถ่ายจากบนสะพานไม้ค่ะ 
เป็นรูปที่มิ้วชอบมาก ต้องชมตากล้องเลยนะเนี่ย


     และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มิ้วอยากเอามาฝากกันจากการไปเที่ยวในครั้งนี้ ตอนบ่ายอาจจะร้อนนิดนึง (จริง ๆ ก็ไม่นิดอะ แดดแรงมากกก =*=)ใครอยากใส่ชุดไทย หรือบรรยากาศย้อนยุคแบบไทย ๆ ไม่ควรพลาดที่จะมาเที่ยวชม "เมืองมัลลิกา ร.ศ.124" แห่งนี้เป็นอย่างยิ่งค่ะ หลายคนอยากไปเที่ยวกันแล้วล่ะสิ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ถ้าหากว่ามีอะไรที่ขาดตกบกพร่องก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะเจ้าคะ อิอิ ^^ 

     และสุดท้ายนี้ขอลาไปด้วยภาพวิวส่วนหนึ่งภายในเมืองมัลลิกาช่วงยามเย็นอันงดงามแบบนี้นะคะ บ๊ายบาย


PhotographerTonie Pix




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น