วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2564

ดูแลสุขภาพฉบับสาวออฟฟิศ เพิ่ม-ลดอะไรให้ได้สุขภาพดี

 


สวัสดีค่ะ เนื่องจากปลายปีนี้อายุก็ย่างเข้า 30 แล้ว จากการใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างสมบุกสมบัน เราก็อยากจะกลับมาฟื้นฟูดูแลร่างกายบ้าง สังเกตตัวเองมาพักใหญ่แล้ว คือหลังอายุเลย 25 มาแล้ว ระบบต่าง ๆ มันดูจะทำงานได้ช้าลง โดยเฉพาะเรื่องการย่อยอาหาร ผิวพรรณที่เริ่มมีปัญหามากขึ้น รวมถึงการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ทำเป็นประจำ บางอย่างทำแล้วมันรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิม ซึ่งก็คงมาจากการที่เรานั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ตลอด ไม่ค่อยได้ขยับตัว เป็นออฟฟิศซินโดรม นอนไม่เป็นเวลาเท่าไหร่ กินเยอะ กินจุ แบบบางทีก็กินไม่ไหว แต่ก็ฝืนกินให้หมด แล้วไหนจะสิ่งที่เป็นมาตลอดอย่างการปวดหัวไมเกรน ซึ่งมันทรมานมาก แต่...ที่ยังเอาชีวิตรอดปลอดภัยมาได้ เพราะรู้สึกว่าที่ผ่านมามันไม่ไหวแล้ว จะยอมรับสภาพนี้ไปตลอดไม่ได้ ดีไม่ดีจะแย่จะทรุดลงกว่าเดิม ก็เลยค่อย ๆ ใช้เวลาปรับตัวเองทีละอย่างเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวค่ะ วันนี้เราเลยขอมาแชร์วิธีดูแลสุขภาพฉบับสาวออฟฟิศ (ที่ไม่เคย) ใส่ใจในเรื่องนี้เลย ผิดถูกยังไงก็ขอคำชี้แนะกันด้วยนะคะ


1. ออกกำลังกาย (เบา ๆ)

บอกก่อนว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ชอบออกกำลังกายหนัก ๆ เท่าไหร่ เวลาเหนื่อยหายใจหอบหนัก ๆ มีความรู้สึกเหมือนจะขาดใจไปทุกที เราชอบอะไรที่มันเพลิน ๆ เบา ๆ มากกว่า อย่างพวกกิจกรรมเข้าจังหวะ การเต้นลีลาศ, Swing Dance หรือไม่ก็เล่นโยคะไปเลย แต่ช่วงหลัง ๆ มานี้เราก็ไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ มีอีกวิธีที่ง่ายและทำบ่อยที่สุด ก็คือการเดินค่ะ แบบถ้าระยะทางไม่ได้ไกลมาก และไม่เร่งด่วนอะไรก็สามารถเดินได้ยาว ๆ เป็นกิโล ๆ เลย ส่วนนึงคงเพราะชินกับการออกฟิลด์สมัยเรียนที่ต้องเดินสำรวจไกล ๆ ด้วย


2. กินผักผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์


ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเรื่องอาหารการกินก็สำคัญมาก เหมือนประโยคที่หลายคนรู้จัก You are what you eat นั่นล่ะ ยอมรับว่าตัวเองก็เป็นสายกินเหมือนกัน เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก ๆ จนเป็นวัยรุ่นคือไม่ชอบกินผักใบเขียวเลย ยังดีที่เดี๋ยวนี้ยังกินได้หน่อย อย่างมะเขือเทศที่เพิ่งจะมากินได้ปี 2 ปีนี้เอง ส่วนนึงก็เป็นเพราะว่าอายุมากขึ้น ยังไงก็ควรจะเลือกกินอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกายเอาไว้บ้าง ส่วนพวกผลไม้ตรงนี้ไม่เคยห่วงเลย เพราะตอนเด็ก ๆ แม่ชอบบังคับกิน 555 ทุกวันนี้เรากินเล่นแทนขนมไปเลยบางที แต่จริง ๆ ผลไม้ที่เราชอบกินก็คือส้ม (กินทั้งกากได้เลย) กับสับปะรด ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ


แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงเท่าเมื่อก่อน ตั้งแต่เรียนจบทำงานมาเจอสภาวะของการทำงานที่บางทีก็ต้องหามรุ่งหามค่ำ พักผ่อนน้อย เราเลยต้องหาตัวช่วยอย่างอื่นมาร่วมด้วย อย่างพวกวิตามิน อากหารเสริมเพื่อสุขภาพต่าง ๆ สำหรับในที่นี้เราก็ขอยกตัวที่กินอยู่ทุกวันนี้ค่ะ


ชาทีมิกซ์ 

อย่างที่บอกไปว่าเป็นสายกิน บางครั้งก็กินจุกจิก เพราะอยากหาขนมกินระหว่างทำงานไปด้วย เหมือนร่างกายเครียดโดยไม่รู้ตัว ที่เลือกชาทีมิกซ์ก็เพราะว่าเขาช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดคลอเลสเตอรอลได้ ลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน (ซึ่งจริง ๆ แล้วเราเองก็กลัวโรคนี้ เพราะยายกับป้าเราเป็น) นี่เลยเลือกมาชงดื่มเป็นประจำ บางวันก็เอามาดื่มแทนน้ำเลย ได้ความรู้สึกสดชื่นดีแม้ชงกับน้ำอุ่น โดยเฉพาะตอนปวดหัวไมเกรนมาก ๆ แล้วมีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว  หรืออย่างช่วงที่มีประจำเดือน เราจะชอบมากเพราะความอุ่นมันเหมือนช่วยให้ลืมความหน่วงบริเวณท้องน้อยไปได้หน่อย ๆ (อันนี้อธิบายจากความรู้สึกตัวเองนะ) แต่หลัก ๆ มันช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดนั่นแหละ ทุกวันนี้เราก็เลยซื้อมาให้แม่ดื่มด้วยเลย


HICEE VITAMIN C 

จริง ๆ ก็ไม่แน่ใจหรอกว่าวิตามินซีที่กินทุกวันนี้มันช่วยได้แค่ไหน ตัวนี้มี 500 mg. เรากินวันละ 2 เม็ด ที่ซื้อมากินประจำ ส่วนนึงเพราะอร่อย 555 แต่เหตุผลหลักคือจริง ๆ เราเป็นหวัดง่ายมาก ลองซื้อกินติดต่อมาตลอด รู้สึกได้นะว่าหลัง ๆ มานี้ไม่เป็นหวัดบ่อยแล้ว อาจจะมีน้ำมูกไหลบ้าง จามบ้าง แต่ก็แค่แพ้อากาศเป็นธรรมดา เลยคิดว่าคงซื้อกินต่อไปเรื่อย ๆ เพราะราคาก็ไม่ได้แพงมากด้วย


Renetar Fiber X 

ปกติเราเป็นคนธาตุหนักธาตุแข็ง ยิ่งช่วงประจำเดือนมาระบบขับถ่ายจะรวนมาก เลยมีไฟเบอร์ไว้กินช่วยบ้าง เวลาที่พยายามทุกวิถีทางแล้วมันถ่ายไม่ออกจริง ๆ ที่รู้สึกได้เลยก็คือ มันไม่ทำให้ปวดท้องแบบปวดบิด แต่ทำให้ตื่นนอนแล้วรู้ว่าต้องทำไปทำธุระที่ห้องน้ำแล้วนะ ที่สำคัญคือถ่ายคล่องจริง ไม่ทรมานมาก

  

3. ดื่มน้ำมาก ๆ ลดอาหารมัน ๆ และมีน้ำตาลมาก

อย่างที่ทราบกันดีว่าคนเราควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร บางทีเราเองก็ทำได้ไม่ถึง แต่ก็พยายามดื่มในระหว่างวันมาก ๆ เมื่อนึกออก แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับการลดการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ความจริงของโปรดของเราแต่ละอย่างคือจัดว่าเป็นเมนูอ้วน ๆ ซะเยอะเลย อย่างเช่น ปาท่องโก๋ที่กินคู่กับน้ำเต้าหู้หรือโจ๊ก, ชุด Breakfast ที่มีไข่ดาว หมูแฮม ไส้กรอก (ไข่ดาวต้องห้ามสุกนะจ๊ะ 5555) หรืออย่างของหวานของพวกคุ้กกี้, พาย แม้แต่พวกขนมไทยต่าง ๆ อย่างฝอยทอง เม็ดขนุน บอกแค่นี้แหละ เอาที่นึกออก เห็นไหมล่ะว่าเอ็นจอยอีตติ้งขนาดไหน 55555


เวลาไปเที่ยว เจอชุดอาหารเช้าแบบนี้ คือฟินมาก ไข่ดาวไม่สุกคือสวรรค์ที่สุดเลย ><


ตอนเป็นเด็กคือกินจนเรียกว่าเป็นเด็กอ้วนคนนึงเลยแหละ แต่ทุกวันนี้คือต้องพยายามลดอาหารพวกนี้ลง เพราะมันไม่มีประโยชน์เลย ยิ่งทำให้อ้วนอีก เราเองก็กลัวเป็นโรคอ้วน แต่จะให้เลิกกินไปเลยก็ยังทำใจไม่ได้ เลยคิดว่าจะกินตามแต่โอกาสไปดีกว่า อาจะเป็นโชคดีของเราอย่างนึงคือชอบดื่มน้ำมาก ๆ ระหว่างมื้ออาหารหรือของว่าง เลยทำให้หลายครั้งก็อิ่มน้ำ แล้วกินอาหารจานหลักต่อไม่ไหวก็มีเหมือนกัน 55555


4. ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ


ข้อนี้เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเรา จริง ๆ แล้วตั้งแต่เด็ก ๆ เราค่อนข้างขี้กลัว วิตกกังวลง่าย แล้วพอเครียดแล้วจะเครียดนานมาก ตรงนี้คือก็ต้องหาวิธีผ่อนคลายกันไป แต่ละคนก็คงมีสิ่งที่ชอบไม่เหมือนกันนั่นแหละ แต่โชคดีที่เราไม่มีปัญหาเรื่องการนอนเลย คือถึงเครียดขนาดไหนก็ยังหลับได้ แบบเก็บไปฝันแทน 55555 จริง ๆ ส่วนใหญ่เราจะเดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่นมากกว่า แต่วันไหนที่หลับได้ยาว ๆ ตื่นมาเช้า ๆ จะฟินที่สุด ทุกวันนี้มีฟังสวดมนต์ก่อนนอนไปด้วย ส่วนตัวเราว่ามันช่วยให้อารมณ์เย็น ชวนให้ง่วง จนพร้อมจะหลับไปในที่สุดเลยแหละ


5. หาอะไรทำให้รู้สึกผ่อนคลาย 

ว่าง ๆ เราก็มีวาดรูปสีน้ำเล่น ๆ บ้าง ส่วนมากเราชอบวาดรูปดอกไม้


ข้อนี้จริง ๆ คือกว้างมากนะ เพราะวิธีการผ่อนคลายความเครียดในเรื่องต่าง ๆ ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็เล่นกีฬา บางคนก็ดูหนังฟังเพลง แต่สำหรับเราก็คือการไป “นวดตัว” ค่ะ จากที่เคยบอกว่าเป็นออฟฟิศซินโดรม มันก็จะชอบปวดหลัง ปวดไหล่ ไล่ขึ้นไปที่เส้นคอถึงขมับ จนปวดหัวไมเกรนไปเลยก็มี เลยต้องมีมือใครสักคนมาบีบ มารีดเส้นตึง ๆ พวกนั้นให้คลายลง เรานวดบ่อยสุดอาทิตย์ละครั้ง แม่เราชอบหาว่าเราติดนวด (ซึ่งก็อาจจะติดจริง ๆ ก็ได้ 5555) แต่ทุกครั้งที่ไปนวด แล้วโดนเส้น มันฟินมาก แบบเจ็บก็เจ็บนะ แต่ถ้าไม่ไปแตะต้องมันก็ทรมานต่อการใช้ชีวิตนั่นแหละ 


แต่ช่วงไหนที่ไม่ได้ไปนวดเราก็มีงานอดิเรกอื่น ๆ อีกนั่นแหละ อย่างการวาดรูปเล่น หรือร้อยลูกปัด ซึ่งมันก็เพลิน ๆ ดี เอาเป็นว่าส่วนนี้ก็คงแล้วแต่คนแหละว่ามีวิธีการจัดการกับตัวเองยังไงกันบ้าง


---------------------------------------------


ทั้งหมดนี้ก็เป็นการดูแลตัวเองในเบื้องต้นเท่านั้น อาจจะไม่ได้ถูกต้องไปทั้งหมด แต่เราก็ปรับให้เข้ากับชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์ของตัวเองที่สุด สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทุก ๆ ท่านที่อ่านกันจนจบนะคะ สวัสดีค่ะ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น