วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2562

เวิร์กไม่เวิร์ก?! ครั้งแรกของการฉีดโบท็อก รักษาไมเกรน



ใครที่ไม่เคยมีอาการของการปวดหัวไมเกรน คงจะไม่เข้าใจหรอกว่ามันทรมานมากแค่ไหน มิ้วเป็นหนึ่งคนที่มีอาการไมเกรนมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น (ตั้งแต่อายุ 15 ปีแล้ว ละอ่อนมากเลยใช่ไหมล่ะ?) มีหลายครั้งที่เราพยายามหาวิธีการรักษาให้มันเบาบางลง ทั้งการกินยา การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แต่ด้วยอายุและความรับผิดชอบที่มากขึ้น ทำให้อาการปวดหัวไมเกรนของมิ้วกลับมาอีกครั้งในช่วง 2-3 ปีหลังจากเรียนจบ ซึ่งอาการไม่ใช่แค่ปวดหัวอย่างเดียวแบบตอนวัยรุ่น แต่คราวนี้มันกลับพ่วงมาด้วยอาการปวดกระบอกตา ตาพร่า ปวดต้นคอ บ่า ไหล่ จนเกิดการคลื่นไส้และอาเจียนออกมาในที่สุด บอกเลยว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวันเหลือเกิน โดยเฉพาะวันที่เรามีงานยุ่ง ๆ หรือมีความเครียด ความกดดันสูง ปวดหัวนิดหน่อยคงไม่เป็นไร ฝืนทำอะไรไปได้หน่อย แต่ถ้าเป็นแบบรุนแรง บอกเลยว่าส่งผลต่อการทำงานในแต่ละวันมาก ๆ 


ไม่มีใครอยากจะเผชิญความทรมานเหล่านี้ บางครั้งด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างก็ไม่ได้ทำให้เรารักษาสุขภาพ นอนหลับพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ การกินยาหรือไปนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก แค่ให้บรรเทาลง แต่ไม่ได้หายสนิทเป็นปลิดทิ้ง จนกระทั่งมีเพื่อนมาบอกว่าเดี๋ยวนี้มีการรักษาไมเกรนนอกจากการกินยาแล้ว นั่นก็คือ “การฉีดโบท็อกซ์” เฮ้ยยย จริงดิ เป็นความรู้ใหม่เลยนะ ตอนแรกก็ไม่ค่อยเชื่อ เพราะพอพูดถึงโบท็อกซ์ เราจะนึกถึงแต่การฉีดเข็มลงไปให้ใบหน้าดูเต่งตึง เรียวกระชับ ได้รูปมากขึ้น แล้วโบท็อกซ์นั้นจะช่วยรักษาอาการไมเกรนได้อย่างไร?


ที่นี่คือที่ที่มิ้วจะมาหาคำตอบ พร้อมทดสอบเองเลยว่ามันรักษาไมเกรนได้จริงหรือเปล่า? เราจะพาไปที่ AYA CLINIC สาขาซีคอนศรีนครินทร์กันค่ะ!




เข้ามาดูรีวิวตามวิดีโอด้านล่างนี้กันได้เลยค่า


เรื่องโบท็อกซ์กับคลินิกความงามก็ดูจะเป็นของคู่กันอยู่แล้ว แต่เอ๊ะ....นี่เรามารักษาไมเกรนกันนี่หว่า ยังไง? ไม่ต้องงงค่ะ เพราะมิ้วจะพาไปที่ BTX Migraine Center ซึ่งอยู่ภายใน AYA CLINIC นี่แหละค่า


ที่นี่เขามีใบรับรองการใช้โบท็อกซ์ (Botulinum Toxin) มาอย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยในขั้นต้นว่าจะไม่เป็นอันตรายค่ะ


สิ่งที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราอีกในระดับหนึ่งก็คือ คุณหมอที่จะมาทำการฉีดโบท็อกซ์ให้เราค่ะ “นายแพทย์ปริญญ์ บุญชัด” เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาโดยตรง สามารถอธิบายถึงหลักการของการใช้โบท็อกซ์รักษาไมเกรนได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย




ในระหว่างที่บอกอาการของตัวเอง คุณหมอก็ได้ให้ความรู้กับมิ้วด้วยว่า การใช้ Botulinum Toxin รักษาไมเกรนนั้นมีมานานและได้รับการยอมรับมาตั้งแต่ปี 2010 แล้วที่สหรัฐอเมริกา มีผลการวิจัยที่การันตีว่าโบท็อกซ์ตัวนี้สามารถช่วยลดการใช้ยาและผลข้างเคียงจากการกินยาได้ ความรุนแรงและความถี่ของการปวดหัวไมเกรนจะดีขึ้น แต่ควรจะต้องรักษากับแพทย์ทางด้านประสาทและสมองโดยตรงค่ะ ถ้าเกิดไม่ทำการรักษากับแพทย์เฉพาะทาง ฉีดมาแล้วอาจทำให้ใบหน้ามีรูปที่ผิดแปลกไป หรือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ค่ะ


หลังจากฟังคุณหมออธิบายและบอกรายละเอียดของอาการคร่าว ๆ ก่อนจะเริ่มทำการรักษา คุณหมอจะทำการเช็คระบบประสาทและสมองของเราก่อนค่ะ




เมื่อตรวจสอบแล้วว่าระบบประสาทและสมองของเราพร้อมที่จะทำการรักษา จะรออะไรล่ะทีนี้ ก็ไปเปลี่ยนชุดรอฉีดโบท็อกซ์กันได้เลยจ้า


การฉีดโบท็อกซ์จะเริ่มฉีดจากบริเวณรอบ ๆ หน้าผาก หว่างคิ้ว ขมับ ท้ายทอย จนไปถึงบ่า มิ้วไม่ใช่คนกลัวเข็มฉีดยาอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยกังวลอะไร เพราะรู้ว่าต้องเจ็บแน่นอน 55555




ลืมบอกไปว่าก่อนจะฉีดต้องลบเครื่องสำอางออกก่อนนะคะ วันนั้นมิ้วแต่งหน้าไปเบา ๆ ส่วนที่ลบก็มีแค่ช่วงหน้าผากเท่านั้น ควรเก็บผมเกล้าขึ้นด้วย เพราะเดี๋ยวจะต้องฉีดบริเวณท้ายทอยกับบ่าค่ะ




หลังจากฉีดโบท็อกซ์ครบหมดทุกจุดแล้ว ก็มานั่งพักให้หายเจ็บสักครู่ค่ะ คุณหมอฉีดแล้วไม่มีรอยช้ำจากการฉีดหลงเหลืออยู่แล้ว จะมีก็รอยแดงนิดหน่อยหลังจากฉีดมาใหม่ ๆ ผลลัพธ์ของโบท็อกซ์จะอยู่ได้ถึง 4 เดือนเลยเชียว!


บอกเลยว่างานนี้ต้องขอขอบคุณทางคุณหมอปริญญ์เป็นอย่างสูงที่ให้การรักษา และให้ความรู้ความเข้าใจว่าโบท็อกซ์ไม่ได้ใช้เพื่อความงามเพียงอย่างเดียวค่ะ
ช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังจากฉีดโบท็อกซ์ไป เป็นช่วงที่ไม่รู้สึกถึงอาการปวดหัวใด ๆ เลย แต่ก็รู้สึกตึง ๆ บ้างตามบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์เข้าไปค่ะ พอเข้าสัปดาห์ที่ 2 เป็นช่วงที่ทำงานหนักติดต่อกันหลายวัน ซึ่งปกติก็คงไม่รอด ต้องปวดไมเกรนแบบเอาเป็นเอาตายแน่ ๆ ถ้าไม่กินยาคือไม่มีทางหาย แต่นี่คือไม่ได้ปวดมากเท่าเมื่อก่อน รู้สึกว่าอาการปวดที่เคยเป็นนั้นเบาบางลงไปเยอะ แทบไม่ต้องกินยาเลย แค่นอนหลับพักผ่อน ตื่นมายืดเส้นยืดสายหน่อย ก็ไม่มีอาการปวดใด ๆ แล้ว อีกอย่างที่เซอร์ไพร์สมาก ๆ คือรู้สึกว่าหน้าตึงกระชับมากขึ้น บริเวณหน้าผากที่ฉีดโบท็อซ์เข้าไปไม่มีรอยย่น ขมวดคิ้วแล้วไม่มีริ้วรอยเลย เรียกว่านอกจากจะรักษาอาการปวดหัวไมเกรนให้บางเบาลงแล้ว ก็ยังได้โชค 2 ชั้นเรื่องริ้วรอยที่ลดเลือนลงด้วยค่ะ 




แต่ก็ใช่ว่าฉีดโบท็อกซ์เสร็จแล้วเราจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่แบบไม่รักษาสุขภาพเลยนะคะ เพราะมีช่วงที่มิ้วหักโหมทำงานหนักอยู่เหมือนกัน จนรู้สึกว่าเริ่มมีอาการปวดหัวขึ้นมาหน่อย ๆ แม้จะไม่ได้ปวดมากเท่ากับที่ผ่านมา แต่ก็มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกายจากอาการออฟฟิศซินโดรมด้วย นี่เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งให้เราไม่ประมาทค่ะ คือถึงจะมีตัวช่วยในการรักษาอาการให้บรรเทาเบาบางลง แต่เราควรจะต้องรักษาสุขภาพของเราควบคู่กันไปด้วย ทำแบบนี้แล้วรับรองว่าอาการจะดีขึ้นแน่นอนค่ะ


ทั้งหมดนี้ก็เป็นรีวิวการฉีดโบท็อกซ์ครั้งแรกของมิ้ว แม้จะไม่ได้มีจุดประสงค์เรื่องความสวยความงาม แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนที่เข้ามาอ่านมาชมกันนะคะ แล้วกลับมาพบกันใหม่คราวหน้านะคะ สวัสดีค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น