วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562

กว่าจะมาเป็น Makeup Artist


จากเด็กชอบวาดรูปและรำไทยคนนึง ซึ่งไม่เคยรู้เลยว่าโตขึ้นมาจะได้เป็นอะไร พอโตเป็นสาว เริ่มรักสวยรักงาม เริ่มศึกษาสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น จนเริ่มรู้ตัวเองว่าหลงใหลในการแต่งหน้าเอามาก ๆ ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำถูกทำผิดมากน้อยแค่ไหน ได้แต่ศึกษาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย ทั้งการดู การอ่าน แล้วนำกลับมาทดลองกับตัวเอง ดีบ้างพลาดบ้างเป็นธรรมดา



ช่วงแรกของชีวิตการทำงาน บอกตามตรงว่าไม่เหมือนที่เคยนึกฝันไว้เท่าไหร่ มีล้มลุกคลุกคลานบ้างเป็นสีสันชีวิต จนกระทั่งได้ที่ทำงานที่ดี ได้ทำอะไรนอกเหนือจากการนั่งโต๊ะทำงานทั้งวัน เราเริ่มเขียนบล็อก มีบล็อกเป็นของตัวเอง ได้ถ่ายทำรีวิวต่าง ๆ อย่างที่ไม่คิดว่าจะได้ทำ หัวข้อส่วนใหญ่ที่เราเขียนก็เกี่ยวกับ “การแต่งหน้า” นั่นเอง ซึ่งเราไม่ได้แค่แต่งหน้าตัวเอง แต่เราได้ลองแต่งหน้าให้คนอื่น ๆ ด้วย นั่นจึงทำให้เรารู้ตัวแล้วว่าชีวิตนี้อยากทำอะไรจริง ๆ เพราะเราไม่เคยเบื่อเลย มีความสุขทุกครั้งที่จะสะบัดแปรงลงบนใบหน้าของใครก็ตาม ช่วงเวลานั้นจะเรียกว่า “ค้นพบตัวเอง” แล้วก็ว่าได้...




ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเรามีความคิดที่จะพุ่งทะยานไปหา “สิ่งที่เราค้นพบ” เราตัดสินใจย้ายงานเพื่อปรับฐานเงินเดือน เพื่อจะเข้าสู่ขั้นตอนของการออมเงินอย่างจริงจัง ตั้งใจไว้ว่าเงินก้อนนี้จะนำไปเรียนแต่งหน้าต่อนั่นแหละ ทำงานอยู่หลายเดือนจนถึงช่วงเวลาอันสุกงอม เราตัดสินใจออกจากงานมาเป็นฟรีแลนซ์สักพัก จนกระทั่งได้เรียนแต่งหน้าต่อตามที่ตั้งใจเอาไว้



ตอนเรียนแต่งหน้าเจ้าสาวชุดไทย มันก็จะออกหวานฉ่ำหน่อย 

ได้เรียนในสิ่งที่ชอบก็จริง แต่ก็ใช่ว่ามันจะง่าย เพราะต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ช่วงแรก ๆ ก็แอบลำบากเหมือนกัน แต่ก็คิดไว้ในใจว่า “อุตส่าห์เก็บเงินมาเรียนได้แล้ว จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด” พยายามอยู่สักพักจนเริ่มเข้าใจมากขึ้น สนุกมากในช่วงเวลาที่เรียนอยู่ นอกจาก Beauty Makeup ที่ตัวเองชอบแล้ว ยังได้แต่งหน้าแบบอื่น ๆ อีก ทั้งแฟชั่น, สเปเชียลเอฟเฟกต์ และแฟนตาซี เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ ตื่นเต้นและท้าทายมากในตอนนั้น



งานแฟนตาซี ในคอนเซปต์ Evil Queen



Final Exam กับการแต่งหน้าแฟนตาซีในธีม Animalistic 
กับคอนเซปต์ของเรา "พญานาค"


งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แน่นอนว่าเมื่อเรียนครบหลักสูตร เราก็ต้องออกไปเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ซึ่งเราเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าในเวลานั้นชีวิจเราจะไปทิศทางไหนต่อดี...

วันรับใบประกาศณียบัตรสำเร็จการศึกษา กับผู้บริหารของโรงเรียนทั้งสองท่าน


อย่างที่บอกไปว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แอบเครียดและกังวลอยู่ไม่น้อยว่าตัวเองจะเดินทางสายนี้รอดไหม หลังเรียนจบเมคอัพมาก็มีงานแต่งหน้าติดต่อเข้ามาบ้าง มทั้งที่เรียกเพื่อนมาเป็นแบบให้ และคนอื่นเรียกไปแต่งตามงานต่าง ๆ ซึ่งถึงแม้จะเหนื่อย แต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ





มีความรู้สึกตอนนี้ทำสำเร็จไปกึ่งหนึ่งแล้ว คือได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ความสำเร็จอีกกึ่งหนึ่งนั้นถือว่ายังอีกยาวไกลนัก มีหลายครั้งที่ท้อ ซึ่งถ้าหากเปรียบว่ามันคือสนามรบ แน่นอนว่านี่เป็นสมรภูมิที่มีความดุเดือดไม่แพ้สงครามของสายอาชีพใดเลย มีบางครั้งที่ โดนปฏิเสธงานกลางคันแบบที่เราเองก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยหากไม่ไปถามอีกฝ่าย มันเป็นความรู้สึกที่บอกยากนะว่าเป็นยังไง ที่แน่ ๆ คือไม่ได้รู้สึกดีนั่นล่ะ




ณ จุดนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะบอกให้ตัวเองสู้ต่อไปนั่นแหละ ในเมื่อเราตัดสินใจจะทำในสายงานที่เรารักแล้ว เราก็จะเต็มที่กับมันให้ถึงที่สุด เหมือนกับคำพูดของหลาย ๆ คนที่บอกว่า “ชีวิตไม่สิ้น ก็ดิ้นกันต่อไป” อย่างน้อยมันก็ทำให้เรากล้าที่จะหลุดออกมาจาก Comfort Zone ที่ตัวเองเคยอยู่ กล้าที่จะออกมาเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเราเองก็เชื่ออยู่ลึก ๆ ว่าต้องมีสักวันที่เป็นวันของเราจริง ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น