"แต่งหน้าออกจากบ้านทั้งที ก็เพราะอยากจะรู้สึกมั่นใจ"
ไม่ว่าใครก็คิดแบบนี้ค่ะ แต่บางครั้งสภาพผิวหน้าของเราก็ไม่เป็นใจนัก โดยเฉพาะเรื่องสิวที่มิ้วเจอมาตลอดตั้งแต่เริ่มสำเหนียกได้ว่าเป็นสาว 5555 จะให้หน้าสดออกมาข้างนอกในสภาพที่ผิวหน้าแย่บ่อย ๆ ก็เกรงใจประชาชี รู้สึกไม่มั่นใจตัวเองด้วย ก็เลยต้องหาอะไรมาปกปิด "อารยธรรม" อันเฟื่องฟูบนใบหน้าสักหน่อย ซึ่งแน่นอน ครั้งนี้มิ้วมีไอเทมใหม่ที่ตอบโจทย์ในเรื่องนี้อย่าง "Any Cushion All Day Perfect SPF50+ PA+++" ที่ทางแบรนด์ Etude House ส่งมาให้ทดลองใช้ ถ้าพร้อมจะไปพิสูจน์ความดีงามของนางกันแล้ว ตามมาเปิดกล่องของใหม่ พร้อมชมรีวิวกันได้เลย ณ บัดนาวววว
อันดับแรก เรามาเปิดกล่อง Etude House ดูกันก่อนเลย
กล่องใหญ่พอสมควรเลยนะเนี่ย
ปิ๊ง ในกล่องไม่ได้มีแค่คุชชั่นนะ แต่มีไพรเมอร์มาให้ด้วย ซึ่งไพรเมอร์ตัวนี้จริง ๆ มีทั้งหมด 4 สี
ที่มิ้วได้มาคือสีขาวกับสีม่วงค่ะ
ก่อนจะไปลงลึกที่คุชชั่น เรามาทำความรู้จักกับไพรเมอร์ 2 ตัวนี้กันก่อนค่ะ
หลอดสีม่วง : Etude House Fix and Fix TONE UP PRIMER SPF33 PA+++ #03 LAVENDER
หลอดสีขาว : Etude House Fix and Fix Pore Primer
หลอดสีม่วง จะช่วยปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอก่อนแต่งหน้าค่ะ
ส่วนสีขาวจะช่วยอำพรางรูขุมขน ทำให้ผิวดูเนียนขึ้น
ทีนี้ก็ไปทำความรู้จักกับนางเอกของเรากันบ้าง
"Any Cushion All Day Perfect SPF50+ PA+++"
เพียงตลับเดียว ก็ให้การแต่งหน้าที่สมบูรณ์แบบ!
Etude House Any Cushion All Day Perfect SPF50+ PA+++ มาในตลับกลม ๆ หน้าตลับเป็นลายทางสีชมพู-ขาวสลับกัน มีคุณสมบัติที่ให้การปกปิดอย่างเรียบเนียน สามารถปกปิดสิวที่เป็นสิวได้อย่างทั่วถึง มีเทคโนโลยี Roll Spread ที่ให้ความเนียนเรียบและบางเบาไปกับผิว
***Roll Spread เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้การแต่งหน้าเปรียบเสมือนการนวดแป้งให้เรียบเนียนแต่บางเบา และให้การปกปิดสูงสุด
พัฟที่มากับตัวคุชชั่น ดูไม่เหมือนกับพัฟทั่วไป
เพราะมันดูเนียนกว่ารุ่นก่อน ๆ มาก
คุชชั่นรุ่นนี้มีทั้งหมด 6 มิ้วได้มา 2 สีด้วยกันค่ะ คือสี Vanilla และสี Beige ตลับนึงราคา 790 บาทค่ะ
***สังเกตดู สี Vanilla จะออก undertone ไปทางชมพู แต่สี Beige จะมี undertone ไปทางเหลือง ซึ่งเข้ากับสีผิวของคนขาวเหลืองอย่างมิ้วค่ะ
ทีนี้เราก็ไปพิสูจน์ความเนียนของคุชชั่นตัวนี้พร้อม ๆ กันเลย
หน้าสดพี่ เห็นแล้วไม่ต้องตกใจกัน มีสิวอยู่ 2 เม็ดบริเวณเหนือริมฝีปาก เม็ดนึงกำลังจะสุกได้ที่เลย ฮึ้ยยยย
ก่อนจะมีผิวสวยเรียบเนียนแบบไร้ที่ติ เราต้องปรับสภาพผิวให้นวลเนียนก่อน มิ้วใช้ไพรเมอร์เบอร์ #03 Lavender ลงบริเวณรอยหมองคล้ำ เช่นใต้ตา และจุดด่างดำต่าง ๆ ค่ะ
จากนั้นก็ใช้ไพรเมอร์หลอดสีขาวทาลงไปตรงจุดที่รูขุมขนกว้างเช่น จมูกค่ะ
ทีนี้ก็มาใช้คุชชั่นกันเลย มิ้วเลือกใช้สี Beige ค่ะ ใช้พัฟตบแท้บ ๆ เนื้อคุชชั่นลงไปบนผิวหน้าเบา ๆ (ที่บอกว่าเบา ๆ เพราะนิดเดียวก็ปกปิดซะเนียนแล้ว)
***ตรงที่เป็นรอยนูนจากสิว มิ้วจะตบเนื้อคุชชั่นซ้ำลงไปอีกหน่อยค่ะ
ไปดูกันว่าก่อนและหลังทาคุชชั่นแตกต่างกันแค่ไหน (มิ้วทาคุชชั่นให้ดูแค่หน้าด้านซ้ายเท่านั้นค่ะ ด้านขวายังไม่ได้ทา)
เนื่องจากสิวมันใกล้จะสุกเต็มทน เราจึงปกปิดได้แค่ความแดง แต่ความนูนของมันก็ยังอยู่นะจ๊ะ
อย่าลืมใช้คุชชั่นปกปิดรอยคล้ำใต้ตาด้วย แต่เมื่อมิ้วมีคุชชั่นอีกสีคือสี Vanilla (ที่ขาวกว่า Beige หน่อยนึง) ก็ใช้นางปกปิดใต้ตาซะเลย
ตอนนี้มันก็จะดูเป็นจูออนหน่อย ๆ
ไปแต่งหน้าสักครู่
แล้วมาดูความเปลี่ยนแปลงกันแบบชัด ๆ
ซูมหน้ากันให้ดูใกล้ ๆ เลยละกัน
ตรงที่พยายามจะปกปิด(อย่างสิว จะดูหนา ๆ นิดนึง)
สรุปผลการใช้ + ให้คะแนน
การปกปิด : 5/5 มันเนียนจริงอะไรจริงค่ะ นี่ไม่ได้อวยนะ เพราะตบทีเดียวเล่นซะเนียนเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบเลย
ความบางเบา : 3/5 ไม่ได้รู้สึกว่าบางเบามาก อาจเพราะติดทนดีมากล่ะมั้ง 5555
ติดทน : 4/5 ติดทนดีเลยทีเดียว แต่แอบมีเลือน ๆ บ้างตรงจมูก ซึ่งเป็นจุดเดียวบนใบหน้ามิ้วที่มันมาก นอกนั้นให้สอบผ่านค่ะ เพราะหน้าส่วนอื่นยังเนียนอยู่
ราคา : ราคา : 3.5/5 ด้วยอานุภาพของการปกปิดที่ดีมากกก ทำให้รู้สึกว่าราคาไม่ได้แพงเวอร์ พอแตะ ๆ ได้ แต่สำหรับน้อง ๆ ที่ยังเรียนอยู่ อาจจะแพงไปสักนิด
คุมมัน : 2.5/5 ไม่คุมมันเท่าไหร่ อาจเพราะคุชชั่นตัวนี้เน้นการปกปิดเหมือนรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์มากกว่าจะให้ความแมตต์เหมือนแป้ง เลยรู้สึกว่าหลังลงไปบนใบหน้าแล้วจะรู้สึกหนึบ ๆ อยู่นิดหน่อย มิ้วใช้แป้งฝุ่นในการเซ็ทเนื้อคุชชั่นอีกทีนึงค่ะ
ปล. ตอนที่ลงแป้งไปแล้ว แอบลองกดเนื้อคุชชั่นซ้ำลงไปตรงที่เป็นสิว ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ควรทำ เพราะอาจเป็นคราบได้ แต่...นางเนียนไปกับผิวเลยค่ะ ปกปิดมากกว่าเดิมด้วย (แต่ก็ควรลงแป้งตามอีกครั้งนะจ๊ะ) ตรงนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างประหลาดใจอยู่ไม่น้อยค่ะ
ผิวเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบราชวงศ์หมิงมั้ยล่ะแหม 55555
จบไปแล้วกับ Hual & Review คุชชั่นปกปิดขั้นเทพของมิ้ว ใครสนใจก็ไปลองดูกันได้ในช็อปของ Etude House นะคะ สุดท้ายหวังว่ารีวิวนี้จะเป็นที่เพลิดเพลินจำเริญใจให้กับทุกท่านที่เข้ามาอ่าน วันนี้ขอลาไปก่อน บ๊ายบายค่าาา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น